เที่ยวพม่าต่อไม่รอแล้วนะ เที่ยวพม่า 2 เมืองย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ ตอนที่ 2

24 มกราคม 2019, 14:29:54

เที่ยวพม่าต่อไม่รอแล้วนะ เที่ยวพม่า 2 เมืองย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์  ตอนที่ 2



มาต่อกันหลังจากใน ตอนที่แล้ว เราเดินทางไปสำรวจ “ย่างกุ้ง” คราวนี้มาต่อกันกับอีกหนึ่งเมืองใหญ่ เมืองที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์พม่าอย่าง มัณฑะเลย์ (Mandalay) เมืองนี้ห่างจากย่างกุ้งไปประมาณ 9 ชั่วโมงด้วยรถบัส มีวัดวาอาราม และความหลากหลายของชีวิตความเป็นอยู่ เป็นอีกหนึ่งที่ที่เราตั้งใจมากัน




สถานีขนส่งแห่งมัณฑะเลย์ (Mandalay Bus Station)

07.00 น. ถึงมัณฑะเลย์

ทันทีที่เราถึงสถานีรถบัสมัณฑะเลย์ เราก็เรียก Grab จากสถานีให้ไปส่งที่โรงแรมก่อนครับ ตั้งใจว่าจะอาบน้ำ เตรียมข้าวของ ก่อนเราจะไปนัดเจอกับไกด์มัณฑะเลย์ที่นัดเจอกันที่โรงแรม


หน้าตาห้องพักโรงแรม Shwe Ingyinn Hotel Mandalay

โรงแรม Shwe Ingyinn Hotel Mandalay ที่มาพักอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถบัส ห่างจากสถานีรถบัสประมาณ? 30 นาที ความดีงามของที่นี่คือเขาให้เราเช็คอิน เข้าไปอาบน้ำได้ก่อนเวลาเยอะมาก (ตอนนั้น 8 โมงเช้าอยู่เลย ปกติเช็คอินบ่ายโมง) ทำให้เราสามารถเข้าไปอาบน้ำก่อนเดินทางได้อย่างสบายใจ ก่อนจะลงมาเจอกับ ไพรเวทไกด์ของเรา “Pho Se” พี่โพสี่ แต่เราจะเรียกเขาว่า “อะโก่” กันเสียมากกว่า แปลว่า โอปป้า (พี่) ในภาษาพม่านั่นเอง! ถ้าอ่านดีๆจะรู้ว่า คนๆนี้ไหงชื่อไม่ตรงปกกับที่เคยคุยกันไว้ใน TripAdvisor เขาคือ “ลูก” ครับ คุยไปคุยมาเพิ่งรู้ว่าบ้านนี้ทำทัวร์กันมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อเลย

เเผนที่



เดินทางด้วยรถตู้สะดวกสบาย มีบริการน้ำดื่มเย็นๆให้อีก เยี่ยมมาก!

รถที่นำมารับเราเป็นรถตู้ขนาดนั่งได้ 4-5 คน ไกด์ทักทายอย่างเป็นกันเอง สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ พาเราไปสถานที่แรก วันนี้แอบเสียแผนเพราะว่าเดินทางมาถึงกันช้า แต่เอาจริงๆนะ เส้นทางท่องเที่ยวของเราก็ยังแน่นเหมือนเดิม

09.50 น. Shwe in Bin Monastery (วัดชเวอินบินทร์)



เริ่มต้นจากวัดชเวอินบินทร์แห่งนี้ครับ ตอนไปบรรยากาศร่มรื่น ความรู้สึกเหมือนเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ของวัดอย่างไงอย่างงั้น พระพุทธรูปที่อยู่ในอาคารแห่งนี้ก็เห็นว่าเป็นต้นแบบของพระพุทธรูปหลายๆปางในพม่าด้วย


ต้นแบบของพระพุทธรูป

อาคารเป็นโถงเชื่อมไปยังห้องต่างๆ ทั้งหลังนี้เป็นไม้ อาคารดูจากสภาพแล้วค่อนข้างเก่าและไม่ได้มีการสร้างอะไรใหม่ คงความเก่า+เก๋า เอาไว้ให้เราได้เห็นกันครับ



10.50 น. Mahagandayon Monastic Institution

เสร็จธุระจากวัดหนึ่งก็ไปต่อ ชมเณรน้อยต่อแถว มาที่นี่เราได้เรียนรู้และเปรียบเทียบของความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาในพม่าและของไทยเรา แม้ว่าบ้านเราจะนับถือนิกายเถรวาท ไม่ต่างจากพม่าและเพื่อนบ้าน แต่ก็มีจุดที่น่าสนใจเล็กๆน้อยที่อยากจะมาแบ่งปันกัน



พระที่นี่ก็นับถือศีล 227 ข้อ เหมือนกันกับที่บ้านเราล่ะครับ แต่ถ้าสังเกตจากสีจีวรก็จะพบว่ามีสีที่เข้มกว่า ก็เป็นเพราะต้องการแบ่งให้เห็นชัดเจนว่าเป็นพระสงฆ์ของประเทศพม่า และถ้ามีใครตาดี สังเกตเห็น จะพบว่า พระที่นี่ไว้คิ้ว !! บ้านเราก็จะโกนหมดเลย ไกด์ก็ได้เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ให้ฟังว่า แต่ก่อนเวลาที่พม่าจะบุกทัพมาตีไทย ก็ต้องทำการบ้านพอสมควรว่าคนไทยนับถือ หรือมีความเชื่ออะไร และแน่นอนว่าพระพุทธศาสนาก็เป็นศาสนาคู่บ้านคู่เมืองในเวลานั้น ก็มีความพยายามของทหารที่จะปลอมเป็นพระ ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างเอกลักษณ์ ฝ่ายไทยเราก็เลยจำเป็นต้องมีการโกนคิ้วเพื่อให้มีความแตกต่าง ป้องกันการบุกรุกรานจากฆ่าศึกศัตรู (จริงแท้เป็นยังไงก็ต้องลองไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมครับ)

ปล. ไกด์เรารู้ศัพท์เทคนิคเกี่ยวกับวงการสงฆ์เยอะมาก และศัพท์เกี่ยวกับสงฆ์ๆนี่แหละ ที่ทั้งบ้านเราและพม่าได้รับอิทธิพลมาจากภาษาบาลี คำแต่ละคำจึงมีเสียงใกล้เคียงกัน และสนุกดีเวลาเอามาพูดเปรียบเทียบ

ไกด์เราพาไปดูทุกส่วนของกิจกรรมของวัดที่นี่ แม้ว่าผมจะรู้สึกอิ่มเอิบใจมากแล้วก็ตาม ไม่พอ พาบุกไปถึงเบื้องหลังการทำอาหาร เบื้องหลังโรงทาน ที่ตอนนั้นอยากจะอุทานว่า “Oh my Buddha!” มากครับ เพราะว่ามันอินไซด์มาก (คือไม่ต้องพามาขนาดนี้ก็ได้ 555) หม้อขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับประกอบอาหาร บนเตาถ่านที่ร้อนระอุ กับทีมอาสาสมัคร ที่แต่ละคนลงแรงมาช่วย เป็นภาพที่เห็นถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวพม่ากันจริงๆ



กำลังจะเดินกลับไปที่รถ ไกด์ก็ได้แนะนำว่ามีอาคารโรงทาน เป็นที่จัดเลี้ยงอาหารสำหรับเจ้าภาพที่จัดเลี้ยงภัตตาหาร และตอนนั้นก็มีลุงที่ดูแลโรงทาน โผล่มาตอนไหนก็ไม่รู้ กวักมือเรียก และพูดกับไกด์เป็นภาษาพม่า ใจความคือ ชวนพวกเราไปทานอาหารมื้อเที่ยงกันก่อน …?ผมเองก็รู้สึกเคอะเขินตามภาษา กะว่าจะไปหากินอะไรมื้อเที่ยงข้างนอก เพื่อนญี่ปุ่นผม ด้วยความที่เรื่องแบบนี้ ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ เพื่อนผมไม่ลังเลที่จะตอบตกลง และขอไปลองทานอาหารในโรงทานกันสักหน่อย

โอเคครับ…? ถ้าจะมากันขนาดนี้แล้ว



ก็นั่งเลยครับ มีอาหารเป็นแกง มีทั้งเนื้อสัตว์ ผักต่างๆ น้ำดื่ม ข้าวสวย เป็นชุด ขอบอกเลยว่า อาหารอร่อยมาก… อร่อยจนตกใจอยากขอบคุณเจ้าภาพ เพื่อนผมเติมจนทุกคนในทริปอิ่มกันพอดี เลยถือโอกาสอธิบายเพื่อนไปว่า จุดประสงค์ก็เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้ที่เป็นผู้รับ และวันใดวันหนึ่งที่เรามีโอกาสเราก็ต้องรู้จักให้ เพื่อนผมซาบซึ้ง ตาเป็นประกายเลยทีเดียว (อ้อ เพื่อนผมก็นับถือพุทธครับ แต่ก็อย่างที่ทราบว่าพุทธศาสนาในญี่ปุ่นคนละนิกาย วัฒนธรรมอะไรบางอย่างอาจจะต่างกัน)

เจ้าภาพตัวจริงเริ่มมา เราก็เริ่มทยอยๆออกกัน ไม่พอ ลุงคนเดิม !! บอกว่า “เอ้า จะรีบไปไหน มาต่อของหวาน” ทำเอายิ้มหุบไม่ลงจริงๆ มีโอกาสได้ทานแล้วก็นึกอนุโมทนาสาธุบุญในใจ และรีบออกไปเพราะเกรงใจเจ้าภาพ ????

11.35 น. โรงทอผ้า Shwe Sin Tai Silkwear

นั่งรถแล้วเดินทางกันต่อ เรายังอยู่ใน เมืองอมรปุระ (Amarapura) อีกหนึ่งเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญของพม่าล่ะครับ อยู่ห่างจากมัณฑะเลย์ไม่เท่าไหร่ (แต่ก็ต้องเดินทางด้วยรถอยู่ดี) ไกด์พามาดูการทอผ้าจากผ้าฝ้าย (cotton) และผ้าไหม ซึ่งถือเป็นของดีของเมืองนี้อย่างหนึ่ง



ศิลปะการทอผ้า ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผูกพันกับคนพม่า เพราะดูจากโสร่ง ที่คนพม่าใส่กันเป็นเครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวัน มองไปทางไหนทุกคนยังคงนุ่งโสร่งกันอยู่ ดังนั้นอุตสาหกรรมการทอผ้าของพม่ายังคงเติบโตอยู่เรื่อยๆแน่นอน และไม่ใช่เพียงโสร่ง ชุดตามพิธีสำคัญๆ อย่างพิธีแต่งงาน ก็ต้องมีการตัด หรือสั่งทำพิเศษ อันนี้ก็เป็นเรื่องคล้ายๆกับบ้านเรา ได้มาเห็นกระบวนการแบบนี้ ทำให้นึกถึงตอนเป็นเด็กๆที่โรงเรียนชอบพาไปทัศนศึกษาได้เห็นขั้นตอนอะไรพวกนี้

ไกด์มาคั่นเวลา ด้วยการนำเสนอ วิธีการผูกโสร่งสำหรับผู้ชาย ครับ ว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิด แค่จับ บิด ชิมครีม … เอ๊ย ! มีจับ ดึงให้ตึง ทำเป็นกากบาท แล้วบิดๆๆ แล้วมาม้วนยัดใส่ลงในผ้า แค่นี้ก็ได้แล้ว บอกตรงๆว่าวันแรกผมมีปัญหากับการนุ่งโสร่งมาก อยากถ่ายรูปสวยๆกับโสร่ง แต่นุ่งไม่เป็น จนลุงๆที่อยู่แถวนั้นคงเอือม เดินเข้ามาเลยจัดการช่วยเหลือซะอย่างดี ถึงตอนนี้ผมทำเป็นแล้วครับ

12:05 ข้ามแม่น้ำอิรวดี ไปยังหมู่สารพัดหมู่บ้าน


ระหว่างทางข้ามสะพานไปอีกฝั่ง เราจะได้เห็นกับวิวแบบนี้

เรามาส่วนที่เป็นหมู่บ้านครับ ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำเป็น เมือง Sagaing (อ่านว่า ซะไกง์)? เรามาเจอกับโรงเรียน เป็นโรงเรียนวัดที่รับเด็กๆจากทั่วทุกสารทิศ ไกด์บอกว่า นักเรียนที่นี่ไม่ใช่แค่ชาวพม่า แต่ยังรวมเด็กจากหลากหลายชนเผ่าเข้าไว้ด้วยกัน ช่องว่างทางการศึกษาของประเทศนี้ก็ยังคงมีอยู่พอสมควร ตัวเลือกอื่นๆ นอกจากโรงเรียนเอกชน โรงเรียนรัฐบาลแล้ว ก็จะมีโรงเรียนวัดเป็นสถานที่อบรมให้ความรู้กับเด็กๆ


ช่วงเวลาพักเที่ยงที่เณรน้อยกำลังดูการ์ตูน ถ้าจะให้เจาะจงเพิ่มเติมก็เป็นการ์ตูนเรื่องทอมแอนด์เจอร์รี่

ภาพที่เห็นที่นี่ เป็นช่วงที่เด็กๆกำลังพักเที่ยง ที่นี่พักเที่ยงตั้งแต่ 11.30-13.00 น. มีคุณครูอาสาสมัครคอยดูแลนักเรียน ช่วงพักเที่ยงก็จะเห็นเด็กๆเล่นกระโดดยางบ้าง ดูการ์ตูนบ้าง เตะฟุตบอลบ้าง ก็เป็นภาพที่ผมในชีวิตนี้เพิ่งจะมีโอกาสได้เห็น


ร้านขายขนมในโรงเรียน

เด็กๆที่นี่ให้เล่นอะไรก็เล่นด้วยนะ สัมผัสได้ถึงความจริงใจ น่ารักจริงๆ

12:40 U Min Thonze Caves

ตรงนี้ทางจะค่อยๆเป็นเขาสูงขึ้นมาเรื่อยๆครับ วัดนี้ตั้งอยู่สูง แต่ถึงยังไง ยิ่งสูงที่นี่ก็ยิ่งไม่หนาวครับ งานนี้ร้อนมากๆ เหงื่อท่วมเป็นทะเล พร้อมไหลไปบรรจบกับแม่น้ำอิรวดีข้างหน้ามากเหลือเกิน ไกด์พามาที่นี่ เพราะที่นี่มีพระพุทธรูปกว่า 45 องค์ (ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พระพุทธเจ้าใช้เวลานั่งสมาธิ บำเพ็ญเพียรต่างๆ) ให้เราได้มากราบไหว้กัน



เรียงรายแบบนี้ เราอาจจะเห็นทรงคล้ายกัน แต่จริงๆแล้ว พระพุทธรูปแต่ละองค์มีความแตกต่างกันตามผู้จัดสร้างว่าเป็น ราชวงศ์ ชนชั้นสูง หรือสามัญชน โดยสังเกตจากขนาดความยาวของหน้าตัก (ฐาน)? จะมีความยาวมาบรรจบในแต่ละตำแหน่งที่แตกต่างกัน เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยครับ ทำให้เราได้ทราบถึงที่มา ภายในยังมีภาพวาดของทศชาติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยครับ



13:10 Soon Oo Pon Nya Shin Pagoda
(อ่านว่า เจดีย์?ซูนอูโป่งญะชิน)




และเราก็เดินทางมาถึงจุดที่สูงระดับที่เห็นวิวทิวทัศน์รอบๆเมืองแล้วครับ ที่นี่ก็มีเรื่องเล่าอีกเช่นกัน สมัยก่อนที่จะมีการสร้างวัดแห่งนี้ กษัตริย์ก็ได้มีการแจกจ่ายหมากให้กับชาวบ้าน แต่ก็มีหมากชุดหนึ่งที่กษัตริย์เสวยแล้วมีอาการแพ้ รวมถึงชาวบ้านด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก จึงได้นำลูกหมากนั้นมาดูว่ามีความผิดปกติอะไร ก็พบว่าลูกหมากมีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ จึงได้เข้าใจและนำลูกหมากที่เหลือบรรจุอยู่ในยอดของสถูป (โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน)



14:20 Mingun Pahtodawgyi Pagoda (Unfinished Pagoda)

ส่วนนี้ก็เป็นอีกส่วนที่ยิ่งใหญ่ ตระการตาเหลือเกินครับ กับขนาด ไกด์บรรยายถึงกษัตริย์องค์นี้ ที่พระองค์มีความคิดแตกต่างจากองค์อื่นๆ เลยทำให้การออกแบบต่างๆแตกต่างไปจากวัดที่มีอยู่เดิม ความพยายามที่ต้องการสร้างวัดที่มีขนาดใหญ่นี้ ก็ต้องแลกมากับหยาดเหงื่อของชาวบ้าน ว่ากันว่าชาวบ้านก็พยายามจะหยุดการก่อสร้างโดยการกุเรื่องขึ้นมาว่า มีลางสังหรณ์ว่าถ้าเกิดวัดแห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อไหร่ ก็จะเป็นการสิ้นสุดรัชสมัยของกษัตริย์องค์นี้ เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็คล้อยตามสิครับ ก็ต้องหยุดการสร้างไป และด้วยภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวในปีค.ศ. 1839 เลยทำให้อาคารเกิดรอยแยกขึ้นมาตามที่เห็นในรูป



ตรงข้ามก็มีอิฐยักษ์เป็นรูปสิงห์สองตัว สร้างจากอิฐและได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวเช่นกัน



และถัดไปนั้นก็เป็นที่ตั้งของระฆังขนาดยักษ์ “Mingun Bell” ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีน้ำหนัก 90 ตัน



17:40 น. Mya Thein Tan Pagoda

นั่งรถออกมาอีกสักแปป ก็เป็นที่ตั้งของเจดีย์สีขาว ใหญ่ อลังการ “เมียะเด็งดาน” ที่นี่คือทัชมาฮาลแห่งพม่า เพราะสตอรี่ไม่ต่างกันเลย สร้างไว้เพื่อระลึกถึงเพราะมหาเทวีชินพิวมิน



จากตรงนี้สามารถเดินขึ้นบันได ไปถ่ายรูปได้ สามารถมองเห็นวิวสวยๆ ได้จากด้านบนสุด



19:40 สะพาน U Bein

เป็นการจบวันนี้ที่สวยงามครับ เพราะเรามาตั้งหน้าตั้งตารอดูวิวสวยๆตอนพระอาทิตย์ตกดิน ในวิวสะพานไม้ และแม่น้ำอิรวดี สะพานไม้นี้เป็นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งเลย ก่อนจะไปถึงสะพานรอบข้างก็เต็มไปด้วยร้านจำหน่ายของกิน ของที่ระลึก

ไกด์สำรวจความพร้อมของพวกเรา ว่าอยากดูสะพานเฉยๆ หรือล่องเรือด้วย .. พวกเราก็ตัดสินใจกันไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว เสียเงินล่องเรือไปชมวิวกันแบบฟินๆ ก็ตกกันทั้งหมด 3 คน เหมาลำไป 12,000 จั๊ด



เราก็เดินเล่นบนสะพานไปก่อน แล้วไปขึ้นเรือกันตรงกลางสะพาน ก่อนจะแช่ๆ ดูพระอาทิตย์ตกดิน ชมวิวสะพานจากหลากหลายมุม ใช้เวลาอยู่บนเรือประมาณ 30 นาที





จบทริปของวันนี้ เรามุ่งหน้ากลับเข้าเมืองไปด้วยความเหนื่อยล้า อยากจะกลับไปแช่ห้องแอร์ในโรงแรมมากๆ เลยบอกให้ไกด์ตรงไปโรงแรม และหาของห่อกลับไปกินที่บ้าน

ไกด์ก็พาแวะมาร้านนี้ เป็นร้านขายอาหารท้องถิ่นพม่า เรียกว่า “แว่ดตาโด้วโท (Wet Tha Dote Htoe)”



เป็นเหมือนกับสารพัดหมู เครื่องใน เสียบไม้ (ปกติจะเป็นหมูอย่างเดียว) แต่ในร้านนี้มีลูกชิ้นด้วย เขาเอาไปนึ่ง เสียบไม้ ไม้ละ 100-200 จั๊ด (ประมาณ) ถูกมาก เราก็ในหัวเครื่องคิดเลขไม่ทำงาน เลยหยิบมาน้อย แต่รับประกันอร่อย เขาจะให้น้ำซุปเป็นคล้ายๆกับพะโล้ มาพร้อมกับน้ำจิ้ม กลัวไม่อิ่มเลยสั่งข้าวยำใบชาไปเพิ่ม ไปทานกันแบบเย็นๆที่โรงแรม (แต่จริงๆเขามีโต๊ะให้นั่งทานอยู่ที่ร้านได้เหมือนกัน แล้วแต่ความสะดวกครับ)



อิ่มหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ว่าก็ได้พึ่งขนมจากร้านสะดวกซื้อที่ไทยประทังความไม่อิ่ม (ที่บ้านเตือนไว้ว่าให้เตรียมของจากไทยไปด้วย เผื่อว่าหาของอร่อยๆไม่เจอ)

เอาเป็นว่า… กินอิ่มแล้ว ก็จบการเดินทางไปสำหรับวันแรกที่มัณฑะเลย์..

วันที่ 2 ของการท่องเที่ยวในมัณฑะเลย์

เข้าสู่เช้าของวันที่สอง อย่างที่บอกว่า ทัวร์เป็นทัวร์ 1 วันครึ่ง และด้วยความที่หอบงานมาทำถึงพม่าด้วย ปั่นงานไม่ทัน เลยอยากจะหาเรื่องทำงานตอนเช้า แถมตื่นสาย แถมได้ใช้เวลาในโรงแรมให้คุ้มค่า (ก็โรงแรมเช็คเอาท์เที่ยง) ก็ไม่อยากจะออกแต่บ้านเนิ่นๆแต่เช้า เลยคุยกับไกด์ว่าครึ่งวันเนี่ย ขอเริ่มบ่ายจบเย็นได้ไหม พี่ไกด์?โพสี่ (บะหมี่เกี๊ยว) ของเรา ก็จัดให้ได้อย่างไม่มีปัญหา ปรับแผนให้ตรงกับความยืดหยุ่นของเรา

เช้านี้เราเลยตื่นสายๆ มาทานอาหารเช้าของโรงแรม เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ตักตวงเสบียงใส่ท้องกันให้แบบเต็มที่



อาหารที่โรงแรมมีข้าวผัด มีผัดผัก ไส้กรอกเป็นพื้นฐาน รวมไปถึง ผลไม้ กาแฟ อิ่มสบายท้อง

นัดไกด์ไว้บ่ายโมง มาตรงเวลาพอดี ส่วนเราก็เช็คเอาท์ และขอฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น ที่ต้องฝากกระเป๋าเอาไว้เพราะว่าวันนี้จะเป็นการท่องเที่ยววันสุดท้ายของผมที่มัณฑะเลย์ แล้วเราจะกลับไปย่างกุ้งครับ ตอนเช้าไกด์เลยพาไปซื้อตั๋วรถบัสขากลับไปย่างกุ้งให้แต่เช้า มีจุดจำหน่ายตั๋วของ Elite express กระจายอยู่ในตัวเมือง เลยไปขอซื้อไว้ก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าเย็นนี้จะมีตั๋วกลับ

13:30 น. วัดมหามัยมุนี Mahamuni Buddha

วัดนี้คนไทยเรียกกันว่า “วัดพระนิ่ม” ตามปริมาณแผ่นทองที่มีคนนำมาแปะมากมาย เมื่อทองกองเป็นชั้นๆ ก็ทำให้พระนิ่มตาม ถือเป็นหนึ่งในวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ของมัณฑะเลย์ที่ต้องมาให้ได้เลยครับ ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คนที่ศรัทธา มาสวดมนต์กันทั่วทุกทิศของพระพุทธรูป

ใครที่ทำการบ้านมา จะทราบว่าที่นี่มีพิธีล้างพระพักตร์ (หน้า) ทุกๆเช้าด้วย ใครที่อยากสัมผัสความอลังการของพิธีก็ต้องมาแต่เช้ามืดกันเลย





และอย่างที่ทุกคนทราบกันดีเกี่ยวกับความเคร่งของพระพุทธศาสนาที่นี่ ผู้ที่จะขึ้นมาแปะแผ่นทองคำเปลวที่องค์พระประธานได้จะต้องเป็นเพศชายเท่านั้นครับ ก็จะเห็นมีป้าๆ น้าๆ ฝากไกด์เป็นตัวแทนให้มาแปะแผ่นทองคำให้เช่นกัน

ภายในวัดยังมีพื้นที่ให้สรงน้ำพระตามวันเกิด มีพิพิธภัณฑ์ด้วย แต่รายละเอียดขอไม่ลงลึกนะครับ หลังจากทำบุญกันที่วัดตอนเช้าแล้ว เราไปตะลุยเดินดูหมู่บ้านที่ทำหินอ่อน – ทองแดง และทองคำเปลว ต่อตามลำดับ



ตลอดเส้นทางเราจะได้เห็นพระพุทธรูปจากหินอ่อน… ที่น่าสนใจคือพระพุทธรูปบางองค์ที่ยังไม่ได้มีการแกะสลักใบหน้า อันนี้ก็ต้องเป็นตามคำขอของผู้จัดสร้าง ไกด์เสริมว่า เป็นความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันบางคนอยากได้ยิ้มน้อย ยิ้มมาก เลยยังไม่ขึ้นรูปครับ และคนที่จะมาแกะสลักได้ต้องเป็นผู้ชายที่มีฝีมือเท่านั้น ถัดมาก็เป็นการใช้บรอนซ์ในการขึ้นรูปพระ ที่เราได้เห็นการทำงานในทุกๆขั้นตอน



ถัดมาก็จะเป็นการทำทองคำเปลว เคยรู้มาว่า ทองคำเปลวที่เราใช้ปิดทองในพระพุทธรูป หรืออนุสรณ์สถานต่างๆ ก็มาจากทองคำจริงๆตามชื่อ แต่ไม่เคยรู้ถึงกระบวนการมาก่อน และกว่าจะมาเป็นทองคำ 1 แผ่นบางๆ เขาใช้เวลาตีถึง 6 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว สถานที่แห่งนี้เลยเปิดหูเปิดตามาก อีกทั้งยังเอาใจนั่งท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเรา บอกว่าสถานที่แห่งนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยเสด็จ ณ ที่แห่งนี้ด้วย (ชาวพม่าเรียกพระองค์ท่านว่า “ติ๊ริโด่ง” ครับ)



15.30 น. พระราชวังมัณฑะเลย์ (Mandalay Palace)

มาสู่ความแกรนด์ ความยิ่งใหญ่ของพระราชวังแห่งพม่ากันบ้างครับ ที่มัณฑะเลย์นี้ เป็นหนึ่งในเมืองที่เป็นที่ตั้งของพระราชวังที่มีขนาดใหญ่ในพม่า แม้ว่าหลายส่วนที่จะมาจากการสร้างขึ้นใหม่ แต่ก็ทำให้เราได้เห็น ได้เรียนรู้อะไรกันบ้าง เป็นพระราชวังสุดท้ายของกษัตริย์พม่า ก่อนที่จะถูกทำลายลงโดยอังกฤษ สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะตอนนั้นอังกฤษเข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่หลบซ่อนของทหารญี่ปุ่น



ตัวบริเวณพระราชวังอยู่ภายในเขตการดูแลของทหารครับ บริเวณตรงนี้จึงเคร่งครัด ควบคุมการเข้าออกเป็นพิเศษ รถยนต์ส่วนตัวสามารถเข้าไปได้ถึงภายในอาคาร แต่ใครที่เดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซต์จะไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ รวมไปถึงที่นี่มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 10,000 จั๊ด นอกจากบริเวณพระราชวังแล้ว ยังสามารถใช้ตั๋วในการเข้าวัดต่างๆที่อยู่ใกล้กันนี้ได้อีก ยังไงก็เก็บตั๋วไว้ให้อยู่กับตัวกันให้ดี หากเข้าชมโดยไม่มีไกด์ อาจจะต้องมีการมัดจำด้วยพาสปอร์ตหรือด้วยเงินสดครับ อันนี้เข้ามาพร้อมไกด์ก็ไม่ต้องเขียนอะไร ไกด์จัดการให้เรียบร้อย

เดินเข้ามาเรื่อยๆก็จะเห็นเป็นหอนาฬิกาครับ เดินขึ้นมาสองร้อยกว่าก้าว เพื่อได้เห็นบรรยากาศโดยรอบ



ส่วนตัวรู้สึกว่าปราสาทที่นี่ใหญ่ครับ แต่รายละเอียด หรือจุดเด่นยังน้อยไปหน่อย ไม่ได้มีการตกแต่งภายในที่ดูอ่อนช้อย งดงาม ให้เราได้อินกันมากนัก



16.40 น. วัดชเวนันดอว์ (Shwenandaw Monastery)

ต่อกันที่วัดแห่งนี้ Shwenandaw สร้างโดย พระเจ้าธีบอ หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ ‘สีป่อ’ หรือ ‘สีป้อ’ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งอลองพญา มีความงดงามและประณีต ใช้เวลาตรงนี้ไม่นาน ถ่ายรูป เขาก็ปิดแล้วครับ เหมือนรู้ว่าเราจะมีนัดดูพระอาทิตย์ตกดินกันต่อ เลยทำให้เราได้เร่ง ทำเวลาไปสถานที่ต่อๆไป



17.00 น. วัดกุโสดอร์ (Kuthodaw Pagoda)

ความสำคัญของที่นี่ ที่นี่เป็นสถานที่ใช้ในการสังคายนาพระธรรมปิฏกของที่พม่าด้วยล่ะครับ จะเห็นได้ว่าข้างในมีพระธรรมปิฎกสลักลงบนหินอ่อนกว่า 729 แผ่น ถือเป็น “พระไตรปิฎกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก” และ “หนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก”





17.30น. มัณฑะเลย์ฮิลล์ (Mandalay Hills)

มาปิดท้ายวันนี้ด้วยการชมทัศนียภาพของเมืองมัณฑะเลย์ จากหุบเขาที่สูง 240 เมตร ให้เราได้เห็นทั้งเมืองมัณฑะเลย์กันครับ ต้องบอกว่าปราสาทและวัดที่เราเพิ่งไปกันมา ตำแหน่งแต่ละที่อยู่ไม่ไกลกันมาก ดังนั้นการเดินทางต่อมาชมมัณฑะเลย์ฮิลล์ จึงไม่ค่อยลำบากและใช้เวลานาน



ที่นี่มีมีค่าฝากรองเท้าอยู่ที่คนละ 200 จั๊ด (ซึ่งจะให้เป็นศีลน้ำใจ ตอนขากลับครับ ตอนไปตอนแรกสามารถเอารองเท้าไปใส่ไว้ในล็อคเกอร์ได้เลย) ขึ้นบันไดเลื่อนไปเรื่อยๆจนไปถึงยอด และจ่ายค่าเข้าชมคนละ 1,000 จั๊ด



ปิดท้ายด้วยมื้อเย็นสุดพิเศษ ให้โจทย์ไกด์เป็น “อาหารพม่าพื้นเมืองในห้องแอร์” ไกด์ก็ดูไม่ค่อยลังเล พามาจอดที่ร้าน Mingalabar Restaurant อยู่ไม่ไกลจาก Mandalay Hill ร้าน 2 ชั้น บรรยากาศน่านั่ง มีอาหารให้เลือกจากเมนูพร้อมรูปภาพ ทำให้ตัดสินใจไม่ยาก



เมนูที่ไกด์แนะนำให้ลองสั่งมาทานคืออาหารพื้นเมืองอย่าง ยำใบชา “ละแพ่ดโต้ว” ครับ มาพร้อมกับเครื่องเคียงหลากหลายชนิด คนที่ชอบผักๆ น้ำพริกต่างๆ อาจจะชอบด้วย texture และรสชาติครับ



อีกเหตุผลหนึ่งที่ชอบร้านนี้คือ พนักงานใส่ใจ มีการอธิบายเมนูต่างๆ วิธีกิน หรือสงสัยอะไรก็สามารถสอบถามพนักงานได้เลย (จริงๆกินเยอะมาก แต่รูปขอลงแค่นี้แค่พองาม)


อย่าลืมของหวาน เขาบอกว่ามันคือ “Dessert” ครับ นำมาเสิร์ฟตอนเราทานอาหารหมดแล้ว เอาจริงๆไม่ได้เตรียมท้องไว้ แถมดูยังไงก็ไม่เหมือนของหวานที่เราเข้าใจอยู่ดี

ทานกันสามคน 3 เมนู มีบะหมี่กะทิ ยำใบชาและข้าวผัด เครื่องดื่มคนละแก้ว หมดไป 19,700 จั๊ด ก็ถือว่าราคากลางๆ ไม่ได้แพงมาก เทียบกับการบริการ อาหารที่หลากหลาย อร่อย เติมเต็มคืนนี้ครับ

และแล้วการเดินทางที่มัณฑะเลย์ของผมก็จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นการเดินทางที่แฮปปี้และมีความสุขมาก ค่าครองชีพของพม่าที่ไม่สูงมาก บวกกับระยะเวลาการเดินทางจากบ้านเราที่ไม่นานแบบนี้ อยากให้ได้ไปลองไปท่องเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้านกันสักครั้งครับ
ทริปนี้ส่วนตัวชอบตรงที่พม่ามีอะไรใกล้เคียงกับบ้านเรา มีอะไรที่น่าสนใจ ถ้าจะติดสำหรับผมอย่างเดียวคือ อากาศที่ร้อน แนะนำไปช่วงปลายๆปี หาโอกาสทำบุญปีใหม่ น่ากำลังจะเหมาะครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่ประทับใจคือ “ผู้คนที่ใจดี” เราเจอคนที่ให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ย่างกุ้ง มาจนถึงไกด์ “โพสี่” ที่มัณฑะเลย์ คนนี้ .. โพสี่ เป็นคนที่บ้าพลังมาก ชอบอธิบาย และเรียนรู้ เวลาที่เราพูดภาษาไทยกันโพสี่ก็จะพยายามเรียนรู้ เขายังแย้มๆให้ผมฟังอีกว่า เขาสนใจภาษาไทย ภาษาไทยมีอะไรที่น่าสนใจ เรียนรู้ได้เร็ว รวมไปถึงอยากมีโอกาสได้ทำทัวร์ให้กับคนไทยด้วยครับ
ใครถ้าสนใจทัวร์แบบสั่งได้ สามารถติดต่อโพสี่ไปทาง เพจ Facebook Private Taxi Driver/Tour Guide in Myanmar แท็กซี่ส่วนตัว/ไกด์นำเที่ยวในพม่า หรือ Facebook ส่วนตัวของโพสี่ (Pho Se) ได้เลยครับ (ไม่ได้ค่าโฆษณาจ้า…) (อ้อ ใครอยากปรึกษาเรื่องการเดินทางทั่วไปในพม่าเขาก็พร้อมตอบเช่นกัน) และถ้ามีโอกาสได้ไปเจอโพสี่ที่พม่าอีก ฝากไปสอนภาษาไทยให้โพสี่ด้วย 5555 เพราะโพสี่ชอบ …


อะ .. มีรูปที่ระลึกกับไกด์ซะหน่อย ขอบคุณจริงๆที่มาเป็นครูคอยให้ความรู้กับเราทั้งทริป จนมาเป็นบล็อกเล่าเรื่องพม่าได้อย่างสมบูรณ์แบบ

สรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริป

จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ดำเนินการไปก่อนล่วงหน้า เช่นการจองตั๋วเครื่องบิน สามารถชำระผ่านบัตรที่ไทยและใช้สกุลเงินไทยจ่าย และส่วนตอนเดินทางไปพม่า แลกเงินจากไทยไป  $200  เพราะวางแผนจะไม่ช็อปเยอะครับ แน่นอนว่าก็พกบัตรเครดิตติดตัวไปเผื่อต้องมีใช้จ่ายฉุกเฉิน ตอนแลกเงินเป็นเงินพม่าก็ทยอยแลกสุดท้ายจำได้ว่าเหลือนิดหน่อยครับ (เน้นกินและเที่ยว)

ค่าใช้จ่ายก่อนเดินทาง (~6,000 บาท)

ตั๋วเครื่องบิน ของ AirAsia รวมกระเป๋าเดินทาง 20กก. จากดอนเมือง-ย่างกุ้ง (ไปกลับ) ~ 3,500 บาท (ใช้แต้มเลยจำไม่ได้ว่าราคาจริงเท่าไหร่)
ประกันเดินทาง (สุขภาพและสัมภาระ) ของ Cigna = 361 บาท
ค่าที่พัก : นอนในโรงแรมน้อย เพราะเราไปนอนบนบัส
– 1 คืนที่ย่างกุ้ง $72 ÷3 คน = $24/คน
– 1 คืนที่มัณฑะเลย์ $60 ÷3 คน = $20/คน
อินเทอร์เน็ต ซื้อแพ็คเกจเพิ่มของ Sim2Fly (AIS) = 299 บาท
ค่าใช้จ่ายในพม่า (~ $200)

ค่ากิน ในบล็อกปกติผมจะเขียนราคากำกับไว้ด้วย โดยรวมแล้วหมดคนละไม่เกิน 10,000 จั๊ด/มื้อ
ทัวร์ที่มัณฑะเลย์ 1 วันครึ่ง (จ่ายด้วยสกุลเงินดอลลาร์ที่ไกด์หลังจบทริป) $72 = $75 ÷3 คน = $25/คน
ค่ารถบัส :
ค่ารถทัวร์ VIP จากย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ ของ Elite Express = 22,300 จั๊ด/คน (ไปกลับก็ 44,600 จั๊ด/คน)
ค่าเดินทางแท็กซี่ (Grab) : ค่าแท็กซี่ให้หักบัตรหมดเลยเพื่อความสะดวก เรานั่งแท็กซี่กันทั้งในย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ แน่นอนว่าเท่าไหร่นั้นก็ตามระยะทางที่เรานั่งจริงๆ ใช้จ่ายไปทั้งหมด  20,000 จั๊ด
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ แตกต่างกัน วัดส่วนใหญ่ไม่เก็บยกเว้นที่ใหญ่ๆ ศาลเทพทันใจ 7,000 จั๊ด, เจดีย์ชเวดากอง 10,000 จั๊ด, พระราชวังมัณฑะเลย์ 10,000 จั๊ด

 
ที่มา : www.framekung.com

 

 


 



**************************************************
บริการจัดทัวร์ 
ทัวร์เชียงตุง ทัวร์เมืองยอง ทัวร์สิบสองปันนา ทัวร์คุนหมิงจีน ทัวร์หลวงพระบาง ทัวร์วังเวียงลาว ทัวร์มัณฑเลย์ ทัวร์พุกาม ทัวร์ทะเลสาบอินเล ทัวร์ตองจี ทัวร์รัฐฉาน

บริษัท เชียงตุงเรียลเอสเตท แอนด์ ทราเวล จำกัด
เลขที่ใบอนุญาต 21/00833
โทร : 092-891-2277,093-2537733,053-727255
ไลน์ไอดี : @chiangtung
เว๊ปไซค์ : Chiangtungbiz.com
youtube:http://bit.ly/2HDFdMO
 

บทความที่คุณอาจสนใจ

บริษัท ไชยนารายณ์ โกลเบิ้ล จำกัด

66 หมู่1 ถนนโชคชัย4 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพ 10320

Tel ซื้อสินค้า : 063 5599 896

Tel ซื้อสินค้า : 092 891 2277

Tel ท่องเที่ยว :

Line ซื้อสินค้า : @chainarai

Line ท่องเที่ยว : @chainarai

Email : chainarai456@gmail.com

แผนที่

เพจ สิบสองปันนา หลวงพระบาง

เพจ เชียงตุง อยู่ดีกินหวาน